ประกาศวันสอบปลายภาค มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2559 ระหว่างวันที่ 29พฤศจิกายน - 12 ธันวาคม 2559

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวัติศาสตร์ ม.

      คำว่า “ประวัติศาสตร์” หรือ History มาจากคำภาษากรีกว่า Historia ซึ่งแปลว่า การไต่สวน สืบสวน ค้นคว้า ตรวจสอบ วินิจฉัยเรื่องราวต่าง ๆ นักประวัติศาสตร์และผู้รู้หลายท่านให้คำนิยาม ความหมายของประวัติศาสตร์ ไว้ต่าง ๆ กันมากมายหลายความหมาย แต่ก็ยังไม่มีคำจำกัดความที่ตายตัวแน่นอนมาจน ทุกวันนี้
  • ลิโอ ตอลสตอย กล่าวว่า “ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวของชีวิต ของประเทศชาติและมนุษยชาติ….”
  • ดร.สมศักดิ์ ชูโต อธิบายว่า “วิชาประวัติศาสตร์พยายามที่จะบันทึกและทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ต่างๆ ในโลกอันเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ทุกด้าน……”
  • พล.ท.ดำเนิร เลขะกุล ได้สรุปความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ว่า “คือ บันทึกที่บรรยายเรื่องราวทุก ๆ ด้านในอดีตของมนุษย์ และบันทึกนั้นเป็น ความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ซึ่งอาจจะเป็นการเรียบเรียงต่อเนื่องกันมาโดยตลอด หรือเรียบเรียงเฉพาะตอนหนึ่งตอนใดของเรื่องทั้งหมดก็ได้…...”
  • ดร.แถมสุข นุ่มนนท์ ให้ทรรศนะว่า “ประวัติศาสตร์คือ การไต่สวนเข้าไปให้รู้ถึงความจริงที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของ มนุษยชาติที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของอดีต…”
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
         ๑. การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามแบบสากล
จุดมุ่งหมายในการแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ เป็นยุคสมัยต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตและช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น ช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ตามแบบสากลแบ่งออกเป็น ๒ สมัย คือ
     ๑.๑ สมัยก่อนประวัติศาสตร์
      สมัยก่อนประวัติศาสตร์  เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้  จึงยังไม่
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์  จึงต้องอาศัยการวิเคราะห์และตีความจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ เช่น เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับที่ทำจากหิน โลหะ และโครงกระดูกมนุษย์
อ้างอิงภาพ https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7CTzw8qnS3nIGyWycqSxm3Bv1G1tVvcc59cTiCFnwPPrasVsB6611rbj205VcVYOf0Epy9jkP41ggrRLUfTZyKkYPdPa9DCBsvelJoNZGVhXtaz_b1e7MRmjsxC-xfFSe1y9kpALqUDY/s400/Paleolithic-life.jpg
ปัจจุบันการกำหนดอายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย  อาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยีแบบแผนการดำรงชีพและสังคม  ยุคสมัยทางธรณีวิทยา  นำมาใช้ร่วมกันในการกำหนดยุคสมัย  โดยสามารถแบ่งยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้ดังนี้
๑) ยุคหิน เริ่มเมื่อประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ถึง ๔,๐๐๐ ปี ล่วงมาแล้ว  แบ่งเป็น ๓ ยุคย่อย ดังนี้ ยุคหินเก่า (๕๐๐,๐๐๐๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ) เป็นช่วงเวลาแรก ๆ ของมนุษยชาติ  มนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือขวานหินกะเทาะ  ในระยะแรก  เครื่องมือจะมีลักษณะหยาบ โดยนำหินกรวดแม่น้ำมากะเทาะเพียงด้านเดียวและไม่ได้กะเทาะหมดทั้งก้อน  ใช้สำหรับขุดสับและสับตัด  มนุษย์ในยุคหินเก่า ดำรงชีวิตอย่างเร่ร่อน  ล่าสัตว์และหาของป่ากินเป็นอาหาร ยุคหินกลาง (๑๐,๐๐๐๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว) เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักทำเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับล่าสัตว์ด้วยหินที่มีความประณีตมากขึ้นและมนุษย์ในยุคหินกลางเริ่มรู้จักการอยู่รวมกลุ่มเป็นสังคมมากขึ้น ยุคหินใหม่ (๖,๐๐๐๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว) เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักทำเครื่องมือด้วยหินขัดเป็นมันเรียบ  เรียกว่า ขวานหินขัด ใช้สำหรับตัดเฉือนแบบมีดหรือต่อด้ามเพื่อใช้เป็นเครื่องมือขุดหรือถาก มนุษย์ยุคหินใหม่มีความเจริญมากกว่ายุคก่อน ๆ รู้จักตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง  รู้จักการเพาะปลูก  เลี้ยงสัตว์  ทำภาชนะดินเผา
อ้างอิงภาพ https://i.ytimg.com/vi/G1d0Gr2BAlU/maxresdefault.jpg
๒) ยุคโลหะ เป็นช่วงที่มนุษย์มีพัฒนาการด้านการทำเครื่องมือเครื่องใช้  โดยรู้จักการนำแร่ธาตุมาถลุงและหลอมใช้หล่อทำเป็นอาวุธหรือเครื่องมือและเครื่องประดับต่าง ๆ แบ่งสมัยได้ตามวัตถุของโลหะ คือ ยุคสำริด (๔,๐๐๐๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว) เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักใช้โลหะสำริด(ทองแดงผสมดีบุก) ทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ  มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่ายุคหิน อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้น รู้จักปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ ยุคเหล็ก (๒,๕๐๐ ,๕๐๐ ปีมาแล้ว) เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักนำเหล็กมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้  ซึ่งมีคุณภาพดีแข็งแกร่งกว่าสำริด  การดำรงชีวิตด้วยการเกษตรกรรม  มีการติดต่อค้าขายระหว่างชุมชนต่าง
อ้างอิงภาพhttp://prehistoricpcctrgxix.myreadyweb.com/storage_upload/20/95233/uploads/images/1_3.jpg

๑.๒ ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
               สมัยประวัติศาสตร์สมัยประวัติศาสตร์เริ่มเมื่อมนุษย์รู้จักคิดประดิษฐ์ตัวอักษรบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเชื่อ พิธีกรรม จึงทำให้เรารู้เรื่องราวที่ละเอียดชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรอาจไม่สมบูรณ์หรือสูญหายถูกทำลายไป นักประวัติศาสตร์จึงต้องใช้หลักฐานทางโบราณคดีมาประกอบการวิเคราะห์ข้อมูล สมัยประวัติศาสตร์นิยมแบ่งเป็น
๑) ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ (๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชค.ศ. ๔๗๖) เป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกจนถึง ค.ศ. ๔๗๖ เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย ถือเป็นการสิ้นสุดสมัยโบราณ
๒) ประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ค.ศ. ๔๗๖ค.ศ. ๑๔๕๓) เป็นช่วงที่ตะวันตกรับอิทธิพลจากคริสต์ศาสนาเป็นอย่างมาก ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้สังคมในสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมระบบฟิวดัล (feudalism)
๓) ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (ค.ศ. ๑๔๕๓–๑๙๔๕) เป็นสมัยแห่งความรุ่งเรืองทางวิทยาการของอารยธรรมตะวันตกและแผ่อิทธิพลไปยังดินแดนอื่น ๆ
๔) ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน (ค.ศ. ๑๙๔๕ปัจจุบัน) เป็นช่วงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงทั่วโลก และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครองต่อสังคมโลกในปัจจุบัน
อ้างอิงภาพhttp://p1.isanook.com/mn/0/ud/36/184322/hmc04180756p1.jpg
อ้างอิงภาพ http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/876/49876/images/Bath_53.jpg

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/the_importance_of_history/index.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น